พี่ได้รู้จักกับน้ำมนต์ครั้งแรกช่วงกลางปี 2008 ตอนที่พี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ UCSB ใหม่ๆ ตอนนั้นเราสองคนยังไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไหร่ จนกระทั่งปี 2009 ที่พี่ย้ายมาอยู่หอพักของมหาลัยและน้ำมนต์ย้ายไปอยู่ Studio Plaza ที่เราสองคนเริ่มเจอกันบ่อยๆ นัดทานข้าวด้วยกัน เดินป่าด้วยกัน เม้าส์กันขำแตก หลอกม็อคให้พาเราไปทานข้าวที่ไทยทาวน์ เราสองคนเป็นทั้งเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และเพื่อนปรับทุกข์ หลายครั้งที่เราใจตรงกัน อยากไปทานร้านเดียวกันหรือสั่งอาหารอย่างเดียวกัน น้ำมนต์ชอบพูดว่า “พี่แพมน่ากลัวมาก รู้อีกว่าน้ำมนต์จะพูดอะไรหรือสั่งอาหารอะไร” แต่พี่เองกลับรู้สึกว่าน้องน้ำมนต์ต่างหากที่มาอ่านใจพี่ออก แล้วด้วยความที่เป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้น้ำมนต์ตัดสินใจเลือกสิ่งเดียวกับพี่ แล้วปล่อยให้พี่เป็นคนเอ่ยออกมาก จนเหมือนพี่มีญาณวิเศษ แต่จริงๆแล้วน้ำมนต์ต่างหากที่มีญาณพิเศษกว่าใคร พี่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
วันที่ 18 เมษายน 2554 เวลาประมาณบ่ายโมงเศษๆ เพื่อนๆเรียกให้พี่ไปคุยกับน้ำมนต์สิ พี่เข้าไปยืนอยู่ปลายตียงน้ำมนต์อยู่นาน แต่พูดไม่ออก พี่รู้ดีว่านี่อาจเป็นคำพูดสุดท้ายที่พี่จะได้พูดกับน้ำมนต์ แม้พี่จะพูดอะไรไม่ออกในตอนนั้น แต่สมองพี่คิดอยู่ตลอดเวลา ขณะที่มองน้ำมนต์นอนหลับใส่ออกซิเจนอยู่ ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่พวกเราเคยทำร่วมกันมันพรั่งพรูเข้ามาในสมองอย่างอัตโนมัติ ทุกภาพล้วนเป็นเหตุการณ์สนุกๆ ความสุขและมิตรภาพที่เพื่อนๆมีต่อกัน เสียงของน้ำมนต์เวลาเรียกชื่อพี่ก้องอยู่ในหู น้ำตาพี่ก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ในใจคิดว่าอะไรกัน ความทรงจำของเราที่มีแต่น้ำมนต์มีแต่เรื่องสวยงาม มีแต่เสียงหัวเราะ มีแต่เหตุการณ์สนุกๆหรือนี่ เพราะฉะนั้นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปที่ว่าให้มากล่าวอโหสิต่อกัน หรือสั่งเสียกันจึงไม่มีปรากฏในใจพี่เลย ความคิดนี้ยิ่งทำให้พี่เสียใจที่ต้องสูญเสียน้องสาวคนนี้ คนที่ไม่เคยทำความทุกข์ใจให้พี่ ไม่เคยมีความผิดใจต่อกัน คนที่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของพี่ที่มีต่อเขามีแต่เรื่องสนุก สดชื่น และมิตรภาพที่สวยงาม
สิ่งเดียวที่พี่เสียดายคือ พี่รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์น้อยเหลือเกิน พี่เป็นคนเดียวในกลุ่มพวกเราที่ขับรถที่อเมริกาไม่ได้ ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เมื่อน้องม็อค(กัลยาณมิตรอีกคนของน้ำมนต์)ผู้ที่พาน้ำมนต์ไปโรงพยาบาลทุกวัน ไม่อยู่ในเมืองด้วยเหตุสุดวิสัย และน้ำมนต์มีตารางต้องไปรับยาโรงพยาบาลทุกวัน พี่อยากเหลือเกินที่จะอาสาพาน้ำมนต์ไป แต่มันติดตรงที่พี่ขับรถที่นี่ไม่ได้ พี่ไม่มีใบขับขี่ที่นี่ แม้น้ำมนต์จะไม่ได้ลำบากอะไรเพราะมีเพื่อนฝูงทั้งคนไทยและฝรั่งที่พร้อมและยินดีพาน้ำมนต์ไปเมื่อไหร่ก็ได้ขอเพียงน้ำมนต์บอกว่า น้องต้าน้องกิ๊ฟก็ช่วยทำหน้าที่กันอย่างแข็งขันและเต็มใจ แต่มันเป็นความเจ็บปวดในใจของพี่ที่ไม่สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้น้ำมนต์ได้เหมือนที่คนอื่นทำให้ พี่คิดว่าจะไปสอบใบขับขี่ในวันนั้นแต่กระบวนการมันก็คงไม่ทันหรอก พี่รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เหลือเกิน (นี่เป็นความรู้สึกจริงๆในใจที่เขียนมาไม่ได้ต้องการให้คนมาปลอบใจหรือหาความชอบธรรมในตัวเอง) พี่แค่อยากบอกน้ำมนต์ว่า น้ำมนต์มีความหมายต่อพี่และพวกเราที่ UCSB มากเหลือเกิน พี่รู้ว่าถ้าน้ำมนต์ได้อ่านสิ่งที่พี่เขียนนี้ก็ต้องบอกว่า “พี่แพมไม่ต้องรู้สึกผิดเลยค่ะ” พี่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดอะไรเลย แต่ความรู้สึกในใจของพี่คือว่า เวลาเรารักใครสักคนมากๆ คนๆนั้นก็ช่างแสนดี เราก็อยากจะทำอะไรดีๆให้กับเขาบ้าง ไม่ได้เป็นการตอบแทน แต่เป็นความต้องการของเราเองที่จะแสดงความรักและมิตรภาพที่มีต่อกัน แต่ตอนนั้นเรื่องนั้นพี่ทำไม่ได้ไง และมันเป็นเรื่องเล็กๆยังคงคาใจพี่มาตลอด
ท้ายที่สุด พี่อยากขอบคุณน้ำมนต์ที่สอนความอดทนให้กับพี่ รวมทั้งทำให้พี่เชื่อว่าความดีทำไปเถอะไม่เสียหลาย หลายครั้งที่พี่เห็นน้ำมนต์ทำโน่นทำนี่ให้เพื่อนคนนั้นคนนี้ พี่ก็คิดในใจว่าน้ำมนต์จะดีไปถึงไหน เห็นแก่ตัวเองบ้างเถอะน้อง แต่น้ำมนต์ก็เป็นน้ำมนต์ไง เป็นผู้ให้ ประโยคที่น้ำมนต์ชอบพูดกับพี่คือ “เวลาน้ำมนต์รู้จักใครแล้วน้ำมนต์ก็จะเอาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ดูแลเขา แต่เขาไม่ต้องมาอยู่ในชีวิตน้ำมนต์ไงเพราะน้ำมนต์ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน“ ตอนนี้พี่เชื่อแล้วน้องเอ้ย ว่าความดีที่น้ำมนต์ทำ มันไม่ได้สูญเปล่าไปไหน เพราะช่วงที่น้ำมนต์เข้าโรงพยาบาล มีเพื่อนฝูงจากแทบทุกสารทิศบินมาเยี่ยม มาเพื่อน้ำมนต์ไม่ว่าจะเป็นหมอพีร์ที่บินมาจากเท็กซัสภายในเวลาครึ่งวันที่รู้ข่าวด้วยกระเป๋าสะพายใบเดียว เพื่อนๆที่ขับรถกันมาจาก Berkeley เพื่อนๆที่ LA ที่หมั่นขับรถเทียวไปเทียวมากันคนละหลายๆรอบ น้อง Vis เพื่อนเก่าแก่ของน้ำมนต์จากสาธิตเกษตรที่บินตรงมาจากลอนดอน น้องปิมเพื่อนรักของน้ำมนต์อีกคนที่จับเครื่องบินมาจากเมืองไทยในบัดดลเพื่อมาดูใจน้ำมนต์ เพื่อนนักเรียนอเมริกันที่ lab, department, advisor ของน้ำมนต์ คุณหมอทั้งสอง ทุกคนล้วนรักน้ำมนต์ด้วยใจจริง และอีกหลายๆคนที่พี่ไม่ได้เอ่ยถึงที่มีความอุตสาหะเดินทางมาเยี่ยมน้ำมนต์ไม่ขาดสาย ความช่วยเหลือต่างๆที่ถูกโพสไปทางอินเตอร์เน็ทไม่เคยถูกละเลย มีแต่ผู้คนอาสามาช่วยทำ น้ำมนต์เอ้ย น้องทำอย่างไรผู้คนถึงรักน้องมากมายได้ขนาดนี้…พวกเราที่ได้มาเจอกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลับรู้สึกผูกพันสนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน “ครอบครัวเพื่อนน้ำมนต์”
หลับให้สบายเถอะนะน้ำมนต์ พักผ่อนให้หายเหนื่อย อย่าเป็นห่วงอะไรอีกเลย คนข้างหลังน้ำมนต์เขาเข้มแข็งมากๆ คุณพ่อคุณแม่และน้องเพชร สามคนที่น้ำมนต์รักมากที่สุดในชีวิต พวกท่านเข้มแข็งเหลือเกิน น้ำมนต์ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนๆน้องๆที่นี่นะ พี่สัญญาแล้วว่าจะดูแลน้องๆทุกคน และที่สำคัญ ทุกคนคิดถึงน้ำมนต์และรู้สึกเสมือนว่าน้ำมนต์ยังไม่ได้จากพวกเราไปไหนเลย
อกัญญา เยาหะรี (พี่แพม)
PhD student, Gevirtz Graduate School of Education
University of California, Santa Barbara
No comments:
Post a Comment