ผู้เป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ปี 2001 แต่เป็น "Friend" ผมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2007
ผมรู้จักพี่น้ำมนต์ครั้งแรกในรถตู้ของ Brewster Academy , 2001, ตอนที่พี่ไปช่วยงานปฐมนิเทศนักเรียนทุนไทย รุ่น TS44 ปกติผมเป็นคนที่จำชื่อคนได้ลำบาก แต่ชื่อน้ำมนต์นี้จำได้แม่นเพราะว่า "ผ่าน hash function* แล้วมันไม่ชนกับชื่ออื่น" (แปลว่า ชื่อนี้แปลก ชื่อไม่เหมือนคนอื่น) (นี่เป็นหนึ่งในมุกเนิร์ดของ computer science ที่ผมชอบเอามาปล่อยให้พี่น้ำมนฟัง หวังให้งงเล่น (แล่้วพี่ก็จะต้องถามว่ามันหมายถึงอะไร(ฟะ?) ไอ้ hash function เนี่ยะ? (แล้วผมก็จะต้องบอกว่า ช่างมันเหอะ ไม่ต้องเข้าใจ (แล่้วพี่ก็จะต้องบีบบังคับให้ผมอธิบายให้จนได้ (แล้วผมก็อธิบายจนได้ (แล้วพี่ก็ดันเข้าใจจนได้อีกน่ะแหละ (พี่น้ำมนต์เคยเรียน Java และ computer science เบื้องต้นมาก่อน))))))) /*<-- ไม่แน่ใจว่าวงเล็บเข้าคู่กันครบหรือไม่ */
วงเล็บซ้อนวงเล็บและข้อความในวงเล็บในย่อหน้าที่แล้วนั้นไม่ได้เขียนเพียงเพื่อแสดงความโรคจิตของผู้เขียน แต่เขียนเพื่อเป็นอีกตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพี่น้ำมนต์นั้นเป็นคนที่ช่างเรียนรู้และพร้อมที่จะถามในสิ่งที่ไม่รู้ พี่น้ำมนต์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เพียงใส่ใจแต่เนื้อหาวิชาของตนเองแต่ยังใส่ใจรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในใจของคนรอบข้าง เมื่อพี่น้ำมนต์เห็นผมขำในเรื่องบางเรื่องแต่พี่น้ำมนต์ไม่ได้ขำด้วย พี่น้ำมนต์จะต้องสอบถามเรียนรู้ข้อมูลจนขำบ้างให้จนได้
ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อพี่น้ำมนต์เห็นเพื่อน หรือรุ่นพี่ หรือรุ่นน้อง หรือรุ่นลูกๆ หลานๆ มีความทุกข์ร้อนไม่สบายใจ พี่น้ำมนต์จะไม่เคยยอมปล่่อยให้ผ่านไปได้เลย พี่น้ำมนต์จะต้องสอบถามและรับฟังข้อปัญหาหมดทุกอย่าง ไม่ว่าปัญหานั้นมันจะร้ายแรง, จิ๊บจ๊อย, มีสาระ, หรือไร้สาระมากสักเพียงไร
เมื่อพี่น้ำมนต์มองเห็นว่าใครท่าทางจะมีความลับอะไร (เช่น ใครแอบชอบใคร? ใครแอบนินทาใคร? ใครแอบจีบแฟนใคร? ใครกับใครเป็นแฟนเก่ากัน? แฟนเก่าใครเป็นแฟนเก่ากับแฟนเก่าใคร?) พี่น้ำมนต์จะต้องดำเนินการสืบ ทั้งในเชิงสืบสวนและสอบสวน ในเชิงสืบสวนนั้นพี่น้ำมนต์มีเครือข่ายผู้ให้ข้อมูล (informant) มากมายเกินกว่าที่ใครจะสู้ได้ ในเชิงสอบสวนนั้นพี่น้ำมนต์มีบุคลิกภาพพิเศษที่สามารถหลอกล่อให้เหยื่อ เอ๊ย! ผู้ต้องสงสัย มีความสบายใจที่จะเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกได้เสมอ
เอาหละ กลับเข้าเรื่อง เขียนมาสี่ย่อหน้าแล้ว ยังเขียนไม่ผ่านพ้นวันแรกที่รู้จักพี่น้ำมนต์ไปได้เลย
หลังจากเมื่อค่่ายฤดูร้อนปี 2001 และค่ายฤดูหนาวปลายปี 2001 คาบเกี่ยวปีใหม่ 2002 แล้ว ผมก็จำไม่ได้อีกเลยว่าได้คุยกับพี่น้ำมนต์อีกเมื่อไหร่ และเราก็ไม่ได้เจอกันเลย ไม่ได้คิดถึงกันด้วย (เอ๊ะ อันนี้ไม่ต้องบอกก็ได้) มาเป็นเวลาสี่ปี แต่พี่น้ำมนต์รู้ไหมว่าในช่วงนั้น (ปลาย 2002 - ต้น 2006) แม้โชคชะตาจะทำให้เราไม่ได้ผูกพันกัน แต่โชคชะตาก็ทำให้ผมได้ไปเรียนรู้แง่มุมของชีวิตสองประการ อันเป็นพื้นฐานให้เราได้ผูกพันกันได้ในช่วง 5 ปีถัดมา
1) ผมได้เรียนรู้เชิงลึกวิชา Computer Science เพื่อจะได้นำมุกเนิร์ดๆ ทั้งที่คิดเองและที่ยืมมาจากฆนัท เล็ก แชร์ ที เพียว แก๊บ พี่กบ พี่อัก น็อต ฮิม ฯลฯ มาเล่นกับพี่ (พี่อาจจะบอกว่า "ฉันไม่เห็นจะสนุกกับเธอด้วย" แต่ไม่เป็นไร ผมจะยัดเยียดความสนุกให้ ราวกับเป็น "buffer-overflow attack"*)
2) ผมได้เรียนรู้วรรณกรรมช้ิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เพื่อจะได้นำมาสนทนากับพี่ในช่วงเวลาที่เรานั่งรถฟังเพลงด้วยกัน วรรณกรรมดังกล่าวก็คือเพลงของโฟร์-มด ตั้งแต่อัลบั้มแรกหายใจเป็นเธอ ไล่เรียงทยอยศึกษามาจนถึงอัลบั้มปัจจุบัน Love Villa (พี่อาจจะบอกว่า "ฉันไม่ใช่แฟนโฟร์-มด อย่างเธอนะ" แต่โปรดอย่าได้เถียงในเมื่อพี่เองก็ร้องได้ทุกเพลงเหมือนกัน เพียงแค่ขึ้นต้นดนตรีพี่ก็บอกชื่อเพลงได้แล้ว แถมยังเต้นแร้งเต้นกาได้ในบางท่าอีกด้วย)
หลังจากนั้น มีนาคม 2006 เราก็ได้พบกันอีกครั้งเพียงหนึ่งวันที่ผมมาเยี่ยมมหาวิทยาลัยนี้เนื่องจากกำลังพิจารณาหาที่เรียนต่อ พี่น้ำมนต์พาเดินจาก Four Eyes Lab ผ่านลอดตึกฟิสิกส์ ลัดเลาะสนามหญ้าไปหน้าห้องสมุด ผ่านไปยัง UCen (University Center) แล้วเลี้ยงกาแฟร้าน Nicoletti’s ขณะนั่งชมทะเลสาบ UCSB Lagoon ทำให้ผมตาสว่าง มองเห็นว่า ที่นี่แหละ คือที่ที่ผมควรจะมาเรียน // เพราะ 1) มีคนเลี้ยงอาหารอยู่นี่แล้ว และ 2) ชื่อแล็บน่าสนใจ
ความทรงจำของผมและพี่ก็ถูกกดปุ่ม pause ไปอีก 6 เดือน จนกระทั่งมหาวิทยาลัยเปิด ในช่วงแรกๆ ผมก็ไม่ค่อยได้เจอกับพี่ จำได้แต่ว่า พี่เป็นเพื่อนกินที่ดีที่สุด นั่นคือ เจอกันทีไรก็คือจะต้องมีของกิน บางครั้งพี่กับพี่เอื้อยก็ทำอาหารเลี้ยงผม (ผมไม่สนว่าเป็นอะไร ถ้ามีข้าว มีไข่ ไม่มีชีส ผมกินหมด) หรือบางครั้งเราก็พาเด็กๆ ที่ Cate School ไปเลี้ยงข้าวที่ไทยทาวน์ (พักแรกๆ เรามักอ้างว่าที่ไปก็เพราะว่าเราเป็นรุ่นพี่ใจดีอยากพาน้องๆ ไปทานอาหารไทยอร่อยๆ พักหลังๆ เราก็ไม่ค่อยสนแล้วว่าเด็กๆ จะอยากไปหรือเปล่า ถ้าผู้ใหญ่จะไปก็จะไป ใครจะทำไม? (จริงไหมครับ?))
แล้วผมก็ได้เป็นเพื่อนกับพี่อย่างเป็นทางการเมื่อ 3 มีนาคม 2007 อย่าถามเลยว่าผมจำได้อย่างไร เพราะผมจำไม่ได้หรอก แต่ไปขุดอีเมลล์เก่าๆ มาดู หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งบอกว่าอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้ควรจะถูกบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพี่เคยพูดว่า "Nothing is official until it's on facebook." ใช่มั้ยล่ะ?
ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่าพี่ดำเนินชีวิตได้อย่างคุ้มค่ากว่าผมมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการผูกมนุษยสัมพันธ์กับคนอเมริกัน และกลุ่มเพื่อนที่พี่คบด้วยนั้นล้วนเป็นคนดีทั้งนั้น นอกจากนี้พี่น้ำมนต์ก็มีความสามารถในการน้อมรับวัฒนธรรมอเมริกันส่วนที่ดีมาใช้ ทั้งใช้กับตนเองและใช้ในการสอนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนฟิสิกส์ของพี่ (ที่ยกให้พี่เป็น Best TA) ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ หลานๆ นักเรียนทุนรัฐบาลไทยรุ่นอื่นๆ โดยพี่น้ำมนต์ยึดถือการสอนเรื่องความซื่อสัตย์, การพูดจาตรงไปตรงมา การหลีกเลี่ยงคำพูดฟุ่มเฟือยสวยหรูไร้สาระ (อืม เขียนๆ ไปต้องระวังตัวเองอยู่เหมือนกัน), การทุ่มเททำงานหนัก, และการเสียสละช่วยเหลือผู้ที่สนิทกับเราโดยที่ไม่เบียดเบียนผู้ที่ไม่สนิทกับเราอย่างไม่ยุติธรรม (ฟังดูงงๆ แต่ผมรู้ว่าพี่ไม่งง)
เมื่อเดือน ก.พ. 2008 ผมได้รับข่าวร้ายจากทางบ้านของผมว่าคุณแม่ของผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ผมต้องลาเรียน 6 เดือนเพื่อไปอยู่กับคุณแม่ที่เมืองไทย และจะต้องย้ายของไปฝากไว้ตามที่ต่างๆ หนึ่งในที่ต่างๆ นั้นก็คือทางเดินห้องพี่น้ำมนต์และพี่เอื้อย พี่น้ำมนต์รับกล่องสิบกล่องของผมไปเต็มๆ บวกกับถุงขยะที่ใส่ข้าวของสะเปะสะปะอีกตั้งหลายถุง โดยที่ไม่บ่นว่าอะไรเลย ผมคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกขอบพระคุณพี่มากๆ ผมรู้ว่าพี่เต็มใจรับและเห็นใจในสถานการณ์ทุกข์ยากแสนสาหัสของผม ผมอดเกรงใจพี่ไม่ได้ แต่เมื่อพ่ีน้ำมนต์เสนอจะรับไปผมก็ไม่ขัดศรัทธา
ในระหว่างที่พี่ช่วยผมนั้นพี่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ผมมารู้ทีหลังว่าพี่ได้ "สงสัย" ความไม่ปกติบางอย่างที่อาจบ่งชี้ว่าเป็นพี่เป็นมะเร็งมา(อย่างน้อย)ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่พี่ไม่แสดงอาการกังวลออกมาให้ใครทราบได้เลย โอ..พระเจ้า พี่จะเป็นคนดีไปถึงไหน? อย่างที่พี่แพมบอก (ผมไปแอบดูบทความพี่แพมมาแล้ว) พี่น้ำมนต์รู้จักเห็นแก่ตัวไว้บ้างก็ได้นะ (เพลงโฟร์มดร้องว่า "ใจไม่เย็นบ้างเป็นมั้ย? ใจไม่เย็นบ้างเป็นมั้ย? ใจร้อนสักหน่อยคงดี" ... แต่ผมจะบอกพี่น้ำมนต์ว่า "ใจไม่ดีบ้างเป็นมั้ย? ใจไม่ดีบ้างเป็นมั้ย? ใจร้ายสักหน่อยคงดี")
ชีวิตของพี่น้ำมนต์ก็เป็นแบบนี้มาตลอด นั่นคือ เห็นใครลำบากต้องช่วย ไม่ว่าตัวเองจะลำบากอย่างไรอยู่ก็ตาม และพี่น้ำมนต์ไม่ได้ช่วยแบบตามมารยาท แต่ล้วงลูกเข้ามาช่วยจริงๆ ช่วยแบบถึงลูกถึงคน ช่วยแบบจริงๆ จังๆ ช่วยแบบไม่ทวงบุญคุณ ช่วยแบบไม่ยอมรับการตอบแทนบุญคุณใดๆ และถ้าใครบังอาจทำท่าเกรงใจไม่เล่าเรื่องทุกข์ใจให้พี่น้ำมนต์ฟัง พี่น้ำมนต์ก็จะมีไม้ตายบอกในเชิงที่ว่า กรุณาเล่ามาเถอะ ฉันจะได้ไม่ต้องมาคิดเรื่องของฉันให้มันปวดหัว ให้คิดเรื่องคนอื่นสบายใจกว่า (อ้าว! เอ้อ! คิดแบบนี้ก็ได้ด้วย คนเราเกิดมาเป็นแม่พระก็อย่างนี้)
เมื่อเดือน เม.ย. ปี 2008 ผมอยู่เมืองไทย อยู่ที่บ้านพัทยา กำลังนั่งอยู่หน้า macbook เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยาเคมีบำบัดที่คุณแม่ผมกำลังเร่ิ่มได้รับ แล้วพี่ก็ส่งข้อความเข้ามาบอกผมว่า พี่ก็เป็นมะเร็งเหมือนกัน
ผมตะโกนคำหยาบคายออกมากี่คำไม่อาจทราบได้ โชคดีที่คุณแม่ของผมไม่มีแรงลุกขึ้นมาตี ไม่งั้นผมคงโดนตีตาย
( as of 24 April 2011, 7:11 PM. I received a skype call from my sister that my mother in Thailand has a medical emergency. I have to stop writing now. Don't worry. This problem will be solved. And this story is ...
TO BE CONTINUED)
:)
- mock
Panuakdet Suwannatat
ผนวกเดช สุวรรณทัต
เอ๊ะ นี่ไม่ใช่ version สุดท้ายนี่นาครับ ... พี่ปฤณพี่แป้งพี่เตยช่วยเปลี่ยนให้ผมได้ไหมครับ? ผมจะส่งอันใหม่ให้อย่างไรดี? หรือว่าให้ผมเปลี่ยนเองเลยไหมครับ?
ReplyDelete- mock