น้ำมนต์
เราอยู่ห้องเดียวกันครั้งแรกตอนป 6 ห้อง 6/4
อาจารย์ชนิดา กับอาจารย์ประพีร์เป็นอาจารย์ประจำชั้น เราจำได้ว่าน้ำมนต์ให้เราลอกการบ้านเลขตอนเช้าเป็นประจำ เราจะมาโรงเรียนเช้ามาก เพื่อมารอการบ้านเลข เราคิดในใจอยู่เสมอว่าน้ำมนต์เข้าใจไอ้ตัวเลขยุ่งยากนี้ได้ยังไง ทำไมทำได้ ทำไมสอบได้เต็มทั้งๆที่เราก็แอบหันไปลอกข้อสอบน้ำมนต์ ยุงอุตส่าห์ลอกผิด ไม่ได้เต็มเหมือนน้ำมนต์มั่ง -_-'
ตอนนั้นเราเคยแกล้งอาจารย์ โทรไปแกล้งอาจารย์ท่านนึงถึงที่บ้าน เล่าให้น้ำมนต์ฟัง น้ำมนต์ก็คอยเตือนสติ ว่าอย่าซ่าให้มันมากนัก
หลังจากป 6 เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน ปิดเทอมไปเที่ยวด้วยกัน โทรศัพท์เมาท์กันตอนกลางคืน เรายังจำได้ พออยู่มัธยม เราสองคนจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์ฝ่ายประถมด้วยกันอยู่บ่อยๆ
ตั้งแต่คบกัน เรารู้สึกเสมอว่าน้ำมนต์ไว้ใจได้ทุกเรื่อง เก็บความลับอยู่ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ให้คำปรึกษาได้ ในขณะที่เราฟุ้งซ่าน เป็นบ้าเป็นบอเรื่องงี่เง่าอะไรก็ตาม ถ้าไปหาน้ำมนต์ น้ำมนต์จะเตือนสติเราได้ตลอด คอยพูดให้เราเห็นภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ น้ำมนต์เหมือนจะรู้จักเราดี กว่าที่เรารู้จักตัวเราเองอีกด้วยซ้ำ
อยู่ม ปลาย กลุ่มเราทุกคนอยู่สายวิทย์กันหมดเลย มีเราคนเดียว อยู่ศิลป์ เราเลยรู้สึกว่าอยู่ห่างออกมาจากเพื่อนๆนิดหน่อย แต่ก็ไม่มาก เราก็ยังคงไปเที่ยวด้วยกัน เราก็ยังให้น้ำมนต์อธิบายการบ้านเลขให้เราอยู่ดี น้ำมนต์มองโจทย์เลขของเรา แล้วก็บอกคำตอบมาเลย ทั้งๆที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทำยังไง เราขอให้อธิบายเลขที่สำหรับน้ำมนต์มันคงจะง่ายน่าดู แต่น้ำมนต์ก็ตั้งใจอธิบายให้เราฟังทุกครั้ง ...ขอบใจมากหว่ะแก
เราสองคนชอบฟังเพลงช้ำรักอกหัก รักคุดเหมือนกัน ไม่ต้องมีใครมาทำให้เศร้าซึ้ง เราสองคนก็สามารถหาเพลงมาทำร้ายตัวเองกันได้ 555 น้ำมนต์ชอบขอให้เราส่งเพลงให้ น้ำมนต์จะบอกเหตุการณ์มา บอกให้เราหาเพลงตรงๆโดนๆให้หน่อย พอเราส่งไปให้ น้ำมนต์ก็จะบอกว่าโดนมาาากกกกกกกกกทุกครั้ง เราทำแบบนี้กันตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน จนเข้ามหาวิทยาลัยที่เราอยู่กันคนละซีกโลก เราอยู่อังกฤษ น้ำมนต์อยู่อเมริกา เพลงล่าสุดที่ส่งไปให้น้ำมนต์ฟัง มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนนี้เอง
จำได้มีวันนึงน้ำมนต์ส่งรูปตัวเองใส่ชุดหนังสุดเอ๊กซ์ มาให้ดู เราตะลึงมากในความเอ็กซ์แตกของเพื่อน อีกสองเดือนก็ส่งรูปแสนห้าวมาให้ดู ให้เราได้งงเล่น.....
วันที่เรานั่งอึ้งอยู่หน้าคอมหลังจากที่รู้ข่าวสิ่งที่น้ำมนต์เรียกว่า 'เพื่อน'
วันนั้น เราออนเอ็มเป็นปกติ น้ำมนต์ก็ทักมาเป็นปกติ
'แก ไอ้ก้อนที่อยู่ที่หน้าอกอ่ะ มันเป็น..... ..ระยะ 3b'....
เราตกใจมากกกกกกกก แต่ก็ทำนิ่งเนียน จำได้ว่า พิมพ์ตอบไปสั้นๆว่า shit...แล้วน้ำมนต์ก็ตอบว่า 'nice response 5555'
เราคิดในใจว่า....ยังอุดส่าห์จะขำ
เราขอชื่อเต็มทางการแพทย์ของชนิดที่น้ำมนต์เป็น แล้วรีบไปถามคุณพ่อเรา เราจำได้ว่า ทั้งพ่อกับแม่เรา เงียบไป แล้วก็หันมาบอกว่า ให้กำลังใจเพื่อนนะลูก ตอนนั้นเรารูสึกได้เลย ว่ามันไม่ธรรมดาแน่ๆ ….หลังจากนั้น เรานั่งอ่านบทความทางการแพทย์ในเนตเกี่ยวกับโรคนี้ เซลล์นี้ อยู่เป็นชั่วโมง จนรู้และเข้าใจว่ามันเป็นยังไง ...แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือทำไมต้องมาเกิดกับเพื่อนรักเราด้วย อายุก็เท่ากัน เป็นไปได้ยังไง
เราคุยกันมาเรื่อยๆ ถามทีไร ก็จะได้รับคำตอบว่า โอเค สบายดี เราก็ใจชื้น น้ำมนต์กลับไทยทีไร เราก็จะไปรับน้ำมนต์ที่ห้องทำงานแม่น้ำมนต์แล้วเราก็ ไปเยี่ยมโรงเรียนกัน ไปกินเอ็มเค เป็นกิจกรรมประจำที่ทำด้วยกันมาตลอด
จนวันนึง น้ำมนต์บอกเราว่า มันลามไปปอด พร้อมกับส่งรุปที่ไปแสกนมาให้ดู เรารีบเอาไปให้ที่บ้านดู อยากช่วยเป็นที่สุด ใจนึงเราก็อยากให้น้ำมนต์กลับไทย เรากับที่บ้านจะได้ช่วยอะไรได้มากกว่านี้
เราไป hiking ไปเล่นน้ำกัน ไป Universal Studio ด้วยกัน น้ำมนต์เริ่มไอเยอะขึ้น เรากับต้องพยายามทำใจให้สนุกสนาน และไม่พูดถึง 'เพื่อน' ของน้ำมนต์ ตลอดระยะเวลาที่เราไปเที่ยวด้วยกัน เพราะเรารู้ว่าน้ำมนต์ไม่ชอบให้ใครเป็นห่วง แต่เราก็เห็นอาการของน้ำมนต์ชัดเจน...
กลับไทยมาด้วยความวิตกล้านแปด แต่ก็สบายใจที่ได้เห็นการรักษาที่ดีของที่นู่น ได้เจอหมอสุดหล่อของน้ำมนต์ด้วย ได้เห็นตอนน้ำมนต์รับคีโม รพที่อเมริกาบรรยากาศดีมาก
ปลายปี 2553 น้ำมนต์กลับไทย เราชวนน้ำมนต์ไปถ่ายรูปที่โรงเรียน น้ำมนต์ให้เราถ่ายรูปน้ำมนต์กับอาจารย์ที่รักทุกๆคน เราก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคราวนี้ถึงอยากได้รูปกับทุกๆคนให้ครบ...... หรือน้ำมนต์จะรู้ว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย
เราได้ไปกินข้าวกันครบทั้งกลุ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะมากันได้ครบ วันนั้นสนุกมากเลย.....
อยู่ๆน้ำมนต์ก็พูดขึ้นมาว่า.....'เอ่อ ปิม เรามีอะไรจะบอก'... ตอนนั้นใจเราตกหายไปไหนไม่รู้ ในหัวนี่ไม่อยากจะได้ยินสิ่งที่กำลังจะได้ยินเลย ...'มันลามไปไตแหละปิม'.... เราตกใจมาก น้ำตาจะไหลตั้งแต่ตอนนั้น แต่เราก็พยายามไม่ร้อง ตอบกลับไปว่า แล้วจะไงต่อ น้ำมนต์ก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวหมอที่นู่นจะวางแผนการรักษาให้
ลากันที่ tops นั่นแหละ วันนั้นคุณแม่น้ำมนต์เข้ามากอดเรา บอกเราว่า 'บอกให้น้ำมนต์สู้นะลูก' เราได้แต่รับปาก ขึ้นรถไปเราร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่าโรคนี้มันจะเป็นแบบนี้ แต่ที่ผ่านมาก็อดหวังเล็กๆว่า อาจจะหาย แต่นี่มันไม่ใช่ มันยากที่จะยอมรับจริงๆ
แต่น้ำมนต์ก็เข้มแข็งตลอด ไม่เคยทำให้ใครต้องกังวล หรือเป็นห่วงเลย ไม่เคยบ่นว่าเจ็บ หรือปวดอะไร แถมยังมาห่วงเราอีก ปัญหาชีวิตของเรา เทียบกับที่น้ำมนต์ต้องเจอ มันเล็กนิดเดียว
เราได้คุยกันใน faceboook chat ตอนเดือนมีนา 2554น้ำมนต์บอกจะกลับไทยวันที่ 12 เมษาเราก็ดีใจ จะได้เจอกัน ตั้งแต่วันที่ 1- 16 เมษา เราไม่อยู่เลย กลับถึงไทยวันที่ 16 ตอนเช้า ได้รับข่าวเรื่องอาการที่ทรุดลง เรารีบจัดกระเป๋าใหม่ไปหาน้ำมนต์ทีอเมริกาเลย คิดอย่างเดียวว่า จะต้องรีบไปให้ทัน โดยวิธีอะไรก็ได้ ให้ได้เร็วที่สุด ไปถึง รพ ที่ Santa barbara บ่ายวันที่ 17 น้ำมนต์ลืมตามาเห็นเรา วันที่ 18 บ่ายโมงครึ่ง น้ำมนต์หยุดหายใจไปอย่างสงบ เราเสียใจมาก ยิ่งเห็นคุณแม่ร้องไห้ ยิ่งสะเทือนใจเป็นที่สุด แต่เราก็ดีใจที่น้ำมนต์จากไปแบบไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน
ตลอด เวลาที่เป็นเพื่อนกันมา น้ำมนต์เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด เราคิดถึงน้ำมนต์มาก คิดถึงเสียงที่เคยได้ยิน คิดถึงเสียงที่คอยเตือนสติคอยว่าเรา เวลาเราทำอะไรไม่ดี คิดถึงตอนเราไปเยี่ยมโรงเรียนด้วยกัน คิดถึงเสียงหัวเราะ คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเพื่อนที่มีแต่ความปรารถนาดีให้เราทุกเวลา คิดถึงตอนที่น้ำมนต์บอกว่า เวลาเราเดินด้วยกันเหมือนเป็นแฟนกัน เพราะน้ำมนต์แต่งตัวแมน แต่เราใส่กระโปรง คิดถึงตอนเราทั้งกลุ่มเถียงกันแย่งชิงวิศว์ คิดถึงที่น้ำมนต์เรียกเราว่าพัดชะปิม….ถ้าไม่มีไอ้โรคนี้ เราคงได้ทำอะไรด้วยกันอีกเยอะแยะ แต่ไม่เป็นไรนะ มันคงเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ ถึงตอนนี้เรายังเสียใจที่น้ำมนต์จากไปแล้ว แต่เราก็ดีใจที่เราได้เป็นเพื่อนกัน และความเป็นเพื่อนก็เป็นแบบนี้ตลอดไป
เราจะพยายามมีสติในการตัดสินใจเรื่องที่น้ำมนต์เป็นห่วงเราและเคยให้คำปรึกษาไว้นะ … ไม่มีแกแล้ว เราจะคุยกะใครวะ ….. คิดถึงจังเลย....
'หลับให้สบายนะ ตอนเจอกัน ไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่ แล้วค่อยเมาท์กันใหม่โนะ'
คิดถึงที่สุด
ปิมปิม 2/5/2554
No comments:
Post a Comment