Wednesday, April 27, 2011

จากแม่ผู้สูญเสียลูกสาวสุดที่รัก



         จากแม่ผู้สูญเสียลูกสาวสุดที่รัก
   

    แม่รอคอยน้ำมนต์มาถึง 5 ปีหลังแต่งงาน แม่ตั้งชื่อ มนัญยา โดยเอา"มนูญ"มาจากพ่อแล้วเปลี่ยนเป็น "มนัญ"และ"ยา"มาจากแม่ เวลาใครถามความหมายแม่จะตอบว่ามาจากพ่อและแม่ ตอนท้องแม่ฝันเห็นผู้ชายตัวใหญ่มากมาวางเด็กผมจุกบนท้อง และเมื่อใกล้คลอดก็ฝันว่าหลวงพ่อสิม ให้สร้อยเป็นรูปวิมานกับแม่ ตอนท้องแม่ต้องฉีดยาประคองน้ำมนต์ตั้งแต่ต้นจน 4 เดือน โดยลุงป๋อง(นายแพทย์ ชุติ เนียมสกุล)ฉีดให้ที่บ้าน เดินมากไม่ได้เลยเพราะเลือดจะออก ต้องเป็นนางกินนอนอยู่นาน ตอนแม่เจ็บท้องก็เจ็บนานมากจากบ่ายถึงกลางคืน จนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน น้ำมนต์คลอดออกมาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2525 เวลา 05.55 น. เหมือนเสียงหัวเราะ ฮ่าๆๆ เป็นเสียงแห่งความสุขเพราะแม่เฝ้ารอลูกสาวมานาน และชีวิตน้ำมนต์ก็เป็นเช่นนั้น น้ำมนต์มีความสุขกับทุกวันที่ผันผ่าน มองโลกอย่างสวยงาม ชอบทานทุกอย่างที่ขวางหน้า นำความสุขและความภูมิใจมาให้ตลอดเวลา รักโรงเรียนสาธิตเกษตรเป็นชีวิตจิตใจ ไม่มีโรงเรียนใดในโลกจะดีพร้อมเท่าสาธิตเกษตรเป็นไม่มี
    เมื่อน้ำมนต์บอกแม่ตอนเดือนกันยายน 2550 เมื่อน้ำมนต์กลับมางานศพคุณยายว่าเป็น cyst ที่หน้าอก แม่ก็เป็นห่วงมากให้ไปเอาออก แต่น้ำมนต์บอกแม่ว่าหมอบอกว่าเอาออกเมื่อไหร่ก็ได้ และขอไปนำเสนองานวิจัยที่ Cambridge University ประเทศสหราชอาณาจักรก่อนในเดือนเมษายน 2551แล้วจะไปผ่าออก แม่กับพ่อยังไปหาน้ำมนต์ที่นั่นเลย เราได้เที่ยวด้วยกันโดยมีวิศว์เพื่อนรักน้ำมนต์ที่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษมาช่วยขับรถให้ แม่พบว่าน้ำมนต์มีอาการบวมบริเวณที่เป็นcyst จึงคุยกับadvisorน้ำมนต์ว่าขอให้น้ำมนต์ไปหาหมอเพื่อผ่าเอาcystออกหลังกลับไปUCSB ซึ่งตอนแรกหมอก็คิดว่าเป็นแค่cyst แต่เมื่อทำbiopsyกลับพบว้าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 3 น้ำมนต์จึงมาเป็นคนไข้ของ Dr. Greenwald ที่ Santa Barbara Cancer center ตั้งแต่นั้นมา น้ำมนต์โทรมาบอกแม่ตอนเดือนพฤษภาคม 2551ว่าต้องรักษาด้วยการฉายรังสี มันเหมือนกับโลกถล่มลงตรงหน้าแม่ แม่ร้องไห้สงสารลูกอยู่นานมากยากจะทำใจ เพราะพึ่งสูญเสียคุณยายไปเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2550นี่เอง และทุกคนก้อยากให้น้ำมนต์กลับมารักษาที่เมืองไทย แต่น้ำมนต์บอกให้แม่ไปดูการรักษาที่นั่น เมื่อแม่ไปดูก็พบว่าที่ศูนย์ฯพยาบาลดูร่างเริงแจ่มใสเป็นมิตรดูไม่เหมือโรงพยาบาลหรือที่รักษาโรคมะเร็ง คนไข้ก็คุยกันเฮฮามีลุงคนนึงมาถึงก็เซ็นตื่อเป็น Micky mouse หรือ Donald duckมั่ง หมอก็ดูเป็นมิตรและให้เวลานานเท่าที่อยากจะสอบถาม ไม่ใช่ที่เมืองไทยไม่ดีแต่บรรยากาศมันต่างกัน อากาศที่นั่นและน้ำมนต์สามารถไปทำวิจัยได้ระหว่างที่ฉายรังสีหรือทำเคมีบำบัด รวมทั้งไปปีนเขา เดินป่าฯลฯสลับกับการรักษาและการทำวิจัย จึงยอมให้น้ำมนต์อยู่ที่นั่น เพราะน้ำมนต์ดูจะมีความสุขและสบายใจเมื่อที่อยู่ที่นั่น แม่กับพ่อและเพชรสลับกันไปหาน้ำมนต์และทุกครั้งที่ผ่าตัดแม่จะเป็นคนเดินไปส่งน้ำมนต์และนั่งรอน้ำมนต์ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งตอนทำเคมีบำบัดแม่น้ำตาตกทุกครั้งที่ดูลูก มันข้ามshot ไปหรือเปล่าเพราะน่าจะเป็นลูกมาดูแลแม่เหมือนกับที่แม่ดูแลคุณยาย แม่จะสงสารลูกทุกครั้งที่ลูกบอกแม่ว่าเพื่อนเก่า(มะเร็ง)ลูกมาที่ปอด ที่ไต ที่สมองและในที่สุดที่กระดูก มันไม่มีคำใดที่จะบรรยายความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูกได้ เพราะลูกคือส่วนหนึ่งของชีวิตแม่ที่แบ่งออกมาตั้งแต่เกิด เมื่อแม่ไปเยี่ยมเมื่อเดือนตุลาคม 2553และอยู่กับลูกทั้งเดือน ลูกยังให้แม่สอนเต้นรำหลายจังหวะรวมทั้งจังหวะ"กาลัวช่า"ซึ่งเราหัวเราะกันอย่างหนักเพราะไม่มีจังหวะนี้มีแต่ กัวลาช่า แม่ยังจำยิ้มตาหยีของลูกได้เลย บางคืนลูกก็จะทานยำตอนห้าทุ่ม หรือผลไม้ที่ไม่มีเปลือกและเมล็ด เป็นต้น ลูกตามกลับมาเมืองไทยเดือนพฤศจิกายน 2553 อยู่ 2 อาทิตย์ ลูกได้พบอาจารย์ที่ลูกรัก เพื่อครบเซ็ทของลูกทั้ง 10 คน ทานอาหารที่อยากทานแล้วลูกก็กลับไป แม่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นการเดินทางกลับเมืองไทยครั้งสุดท้ายของลูก หลังจากกลับไปอเมริกาแล้วลูกก็ได้รับการรักษาทางรังสีจนถึงปลายเดือนธันวาคมที่ลูกขอหมอไปStony point เพื่อดูแลน้องๆทุนก.พ.เขียนใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยฯลฯ ซึ่งเป็นสื่งที่ลูกรักมากและทำมาตลอด นอกจากSummer camp ที่ Brewster ที่ลูกชอบไป หลังจากนั้นลูกก็บินไปเยอรมันเพื่อพบDr. Vanessa เพื่อนรักของลูกและกลับมาSanta Barbara เพื่อรับการรักษามะเร็งที่สมองด้วยรังสีอีกหลายครั้งซึ่งคงทรมานมาก
        
 
หลังจากนั้นลูกก็ทานไม่ค่อยได้ ต้องทานเป็นน้ำๆ มีการเจ็บคอ และเมื่อพบว่าที่ลูกปวดแขนไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อหรือเอ็นอักเสบกลับเป็นเพื่อนเก่ามาเพิ่มอีก ลูกบอกแม่ว่าถ้ารักษาแล้วหายลูกก็จะสู้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วเพียงแค่บรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้น หัวใจแม่สลายนึกสงสารลูกอยากไปหาลูกไปอยู่ใกล้ๆลูก แต่แม่ก็รู้ว่าลูกไม่อยากให้แม่เห็นลูกอ่อนแอ ลูกให้แม่รอที่นี่เพราะลูกบอกว่าจะกลับมาบ้าน แม่ก็เริ่มจัดห้องซื้อของเตรียมไว้ เพราะลูกกำหนดจะกลับวันที่ 12 เมษายน 2554 โดยพ่อจะบินไปรับลูกที่นั่น เมื่อพ่อไปถึง Vanessa ก็ยังอยู่ที่นั่น หมอเลยให้เข้าพักที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทาง น้ำมนต์ก็ยังเสียงใสคุยโทรศัพย์กับแม่ แม่จะโทรหาลูกทุกวันมาเป็นเวลาหลายปีมาแล้วและจะเจอแต่กำลังทานโน่นทานนี่เสมอ พ่อส่งข่าวว่าดีขึ้นทุกวันพร้อมเดินทางคืนวันที่12 แต่การบินไทยที่LAXกลับกลับคำพูดว่าไม่อนุญาตให้เดินทางเย็นวันที่ 12 ทั้งๆที่คำเสนอของการบินไทยสุดท้ายคือต้องมีหมอเดินทางไปด้วยบนเครื่องบิน ซึ่งหมอพีร์ เหมรัชตะเพื่อนลูกที่สาธิตเกษตรกำลังบินมาจากHouston แต่ก็ยังไม่ยอมให้เดินทาง ในที่สุดหมอพีร์ก็เลยมาทำหน้าที่หมอและพยาบาลแทน น้ำมนต์โทรบอกแม่ว่าให้ไปหาพร้อมเพชร แม่ใช้เวลาเก็บกระเป๋าไม่ถึง 6 ชั่วโมงเราก็ออกเดินทางไปหาลูก พบลูกลูกก็ยังดูโอเคแค่ใส่หน้ากากออกซิเจนเท่านั้น ลูกบอกว่ายกแขนไม่ค่อยได้ให้กอดลูกเอง แม่ก็กอดลูกทั้งน้ำตา วันที่ 14 เป็นวันที่ลูกคงเหนื่อยเพราะมีทั้งเพื่อน พี่ น้อง พยาบาล หมอ อาจารย์มาเต็มไปหมดในช่วงที่ลูกรู้ว่าจบปริญญาเอกแล้ว คืนนั้นก็ดูลูกเพลียๆและก็ไอมากหน่อยเพราะพูดมากทั้งบ่าย ลูกยังคุยได้บ้างในวันที่ 15 แต่หายใจแรง หมอ Grafton มาถามแม่ว่าอยากอยู่ตอนกลางคืนไหม แม่ก็ตอบว่าอยากอยู่ หมอก็ติดต่อพยาบาลขอให้แม่อยู่ แม่กับเพชรจะอยู่ในห้องกับน้ำมนต์ พ่อนอนอยู่ในfamily room ซึ่งถูกพวกเรายึดแล้ว น้ำมนต์จะดูรู้สึกหลับไม่สบายเพราะคอยมองนาฬิกาตลอดเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วมองหน้าแม่ว่าทำไมไม่กลับ ถ้าแม่ยืนนานๆก็จะชี้ไปที่เก้าอี้แล้วบอกให้แม่นั่ง นั่ง แต่ถ้าแม่อยู่อีกฝั่งแล้วให้เพชรนั่งแทน น้ำมนต์จะหลับดีขึ้น หมอพีร์บอกว่าเพราะน้ำมนต์ห่วงแม่ เวลาน้ำมนต์ลุกขึ้นไอแม่จะกอดเอาหัวน้ำมนต์มาซบอกแม่น้ำมนต์ก็ยอมโดยดี แต่พอแม่บอกว่าจะกล่อมให้น้ำมนต์จะบอกไม่เอาทันที น้ำมนต์จะพยายามเข้มแข็งเพื่อแม่จะได้ไม่ห่วงมาก

  


นอกจากแม่และเพชรแล้วกลางวันจะมีทั้งวิศว์ ปิม ฝ้าย แอนนี่ และคนอื่นๆอีกมากที่จะคอยดูแลน้ำมนต์ หมอGrafton ซึ่งเป็นหมอผ่าตัดจะมาหาทุกวัน เป็นหมอที่เอ็นดูน้ำมนต์มาก และร้องไห้เมื่อรู้ว่าน้ำมนต์กำลังจากไป และบอกแม่เมื่อวันที่ 16 ว่าสุขภาพน้ำมนต์ลงเร็วมาก หลังจากรู้ว่าจบปริญญาเอก และไม่สามารถกลับไทยได้ พร้อมขอโทษแม่ที่ไม่สามารถช่วยน้ำมนต์ได้ และโทรหาแม่ตลอดจนวันที่กำลังจะเดินทางกลับไทยเมื่อ 22 เมษายน ส่วนหมอGreenwald ไม่อยู่ในเมืองตลอดสุดสัปดาห์และวันจันทร์ที่น้ำมนต์จากไปด้วย
    วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554 เป็นวันแห่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของแม่อีกวันหลังจากที่เสียคุณยายไปเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2550 แม่จับมือลูก ท่องยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกให้ลูกฟังจนจบ บอกให้ลูกหายใจเข้าพุทธ หายใจออก โธ บอกว่าไม่ต้องห่วงแม่หลับให้สบายนะ หมอ Kearney ที่ดูแลเรื่องผู้ป่วยหนัก ถามแม่ว่าต้องการให้ทำอะไรอีกไหม แม่ตอบว่าขอให้น้ำมนต์สงบและสบาย หมอบอกแม่ว่าวาระสุดท้ายของลูกกำลังจะมาถึงแล้วและบอกว่าการทำงานของหัวใจลูกหนักมากเมื่ถึงจุดที่ทำงานไม่ไหวลูกก็จะจากไป และยังบอกอีกว่าจะไม่มีการใส่ท่อช่วยหายใจเพราะน้ำมนต์เซ็นต์ไว้แล้ว แม่หัวใจสลายเมื่อมองดูลูกหายใจลำบากขึ้นแต่น้ำมนต์ก็เป็นนักสู้เหมือนคุณยาย จนบ่ายโมงกว่าผู้คนที่อยู่รอบน้ำมนต์ก็บอกให้แม่ไปหาอะไรทานหน่อย แม่ก็เลยเดินออกจากห้องไปหาขนมทานแต่ยังไม่ทันทานก็มีคนวิ่งออกจากห้องมาเรียกแม่ พอแม่เข้าไปน้ำมนต์กำลังจะจากไปแม่ทำได้แค่บอกลูกว่าพุทโธ และไม่ต้องห่วงแม่ แล้ววาระสุดท้ายของลูกก็มาถึงลูกจากไปอย่างสงบ หัวใจแม่เหมือนถูกทุบมันเจ็บลึกมากพยาบาลเข้ามาขอถอดหน้ากากออกซิเจน และรอการยืนยันจากหมอ หลังจากนั้นก็มีการทำความสะอาดร่างกายใส่ชุดที่ลูกชอบ มีแม่ ปิม แอนนี่และพยาบาลช่วยกันทำ แล้วอนุญาตให้ทุกคนข้างนอกเข้ามาพูดลาลูก หลังจากนั้นบริษัทที่จัดการย้ายลูกกลับบ้านจะมารับลูก แต่ก่อนหน้านั้นลูกบริจาคแก้วตาให้องค์กรที่เกี่ยวข้องจะมาจัดการก่อน แม้จะจากไปลูกก็ยังคิดถึงคนอื่นอยู่ตลอด หลับให้สบายนะลูก………แล้วพบกัน

  

Dr. Kimberly Grafton, Surgery and Dr. Daniel Greenwald , Oncologist หมอที่น่ารักของ    น้ำมนต์ที่ดูแลอย่างดีตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็ง





  


  ตัวอย่างการ์ดที่น้ำมนต์ชอบติดประดิษฐ์ส่งให้แม่


    นับจากนี้ลูกจากแม่ไปนิจนิรันดร์แล้ว ความสูญเสียครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากนัก แม่เชื่อว่าคนที่เป็นแม่ทุกคนจะรู้ว่าแม่รู้สึกอย่างไร แต่ลูกเป็นห่วงแม่ว่าแม่จะทำใจยากและเป็นทุกข์ แม่ก็จะพยายามเข้มแข็งเพื่อลูก แม่จะคิดว่าลูกไปดีมีความสุขแล้ว กายหยาบร่างนี้มันทรุดโทรมเกินเยียวยาแล้ว มันทำให้ลูกทุกข์ทรมานมาก ลูกก็ควรทิ้งกายหยาบนี้เสียไปหาร่างหรือหาที่ๆสงบสุขอยู่นะลูกนะ ลูกไปเตรียมที่ไว้นะจ๊ะ แม่จะได้ตามไปอยู่กับลูกในไม่นานนี้แม่บอกลูกว่าขอให้ลูกเกิดมาเป็นลูกของแม่ใหม่และขอให้ลูกอยู่กับแม่นานๆอย่าทิ้งแม่ไปเร็วอย่างนี้อีกนะจ๊ะ คำพูดสุดท้ายที่แม่บอกและปิดตาลูกคือ พุทโธ และไม่ต้องห่วงแม่ แม่ก็จะทำตัวไม่ให้ลูกเป็นห่วง แล้วพบกันนะจ๊ะลูกรัก



        แม่รักลูกลูกคงรู้ว่าแม่รัก     แม่ฟูมฟักรักลูกทนุถนอม
คอยดูแลลิ้นไรไม่ให้ตอม            แม่เฝ้ายอมอดนอนคอยดูแล
ให้ลูกรักแจ่มใสมีความสุข            พ้นความทุกข์ใดใดไม่เศร้าหมอง
ให้ลูกรักสำเร็จสมดังใจปอง            ภัยทั้งผองให้มลายลับดับไป
แต่วันนี้ลูกรักมาลาจาก                 มาจำพรากจากอกแม่น่าใจหาย
ขอลูกรักจงนอนหลับให้สบาย        ลับแต่กายใจยังอยู่คู่เคียงกัน
ขอให้ลูกเกิดมาเป็นลูกอีก            ขอให้หลีกจากโรคร้ายร้ายทั้งผอง
ขอคำอธิษฐานของแม่สมใจปอง     แล้วเราสองจะพบกัน..นะลูกยา


   



 

 

 
            

1 comment:

  1. ขอร่วมให้กำลังใจกับครอบครัวของ ดร. มนัญยาด้วยค่ะ เป็นความสูญเสียบุคลากรที่มีค่ายิ่ง ขอให้ดวงวิญญาณของคุณน้ำมนต์ ไปสู่สุคติ และขอให้ทุกท่านภาคภูมิใจว่า เธอนั้น แม้มีเวลาในโลกนี้สั้นนัก แต่ก็ได้สร้างผลงาน และความภาคภูมิใจให้กับคนในชาติมากมาย

    ReplyDelete